เทศน์เช้า

ราตรีเดียว

๔ พ.ย. ๒๕๔๔

 

ราตรีเดียว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ของเรา ผู้มีราตรีเดียว เห็นไหม ผู้มีราตรีเดียวไม่มีความทุกข์ ราตรีหนึ่งมันล่วงไป ๆ เป็นราตรีเดียว แต่เพราะเราเป็นผู้ที่มีราตรี มีนับประทับนับซ้อนเข้าไปไง พอนับวันนับคืนเข้าไปมันก็เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ผู้มีราตรีเดียวนี่วันคืนล่วงไป ๆ มันเป็นวันคืนล่วงไป มันเป็นปัจจุบันธรรมตลอดไป แต่เรามันไม่ใช่ราตรีเดียว เรานับซ้อนกัน ๆ มันถึงเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี มันเลยมีอดีต มีอนาคต คนที่มีอดีตอนาคตก็ต้องทำเพื่ออดีตเพื่ออนาคต สะสมไว้เพื่อเรา ทำไว้เพื่อเรา

แต่ผู้มีราตรีเดียว เห็นไหม ปัจจุบันธรรม หายใจเข้าไม่หายใจออกมันก็ตาย หายใจออกเยอะ ๆ มันก็ตาย พอมันตายแล้วนี่สรรพสิ่งนั้นมันเป็นสมบัติของโลกเขา เรามาอาศัยโลกเขาอยู่ แล้วเราก็ไปตามประสาโลกเขา มันวางไว้ตามความเป็นจริงตั้งแต่วันที่ว่า ก่อนจะเป็นผู้มีราตรีเดียวนี้มันต้องชำระกิเลสออกไปจากใจ ความชำระกิเลสออกไปจากใจ ไม่มีอดีตอนาคตในหัวใจนั้น ในหัวใจนั้นจะมีความสุขของใจดวงนั้นตลอดไป

แต่เพราะใจของเราเป็นผู้ที่ซับซ้อน เห็นไหม เพราะมีกิเลสอยู่ทำให้ซับซ้อน เพราะใจเราซับซ้อนมันถึงนับวันนับเดือนนับปี นับวันนับเดือนนับปีมันก็พับเข้าไป ๆ ซับซ้อนเข้าไปในหัวใจเท่านั้น พอซับซ้อนเข้าไปในหัวใจมันก็เป็นอดีตอนาคตขึ้นมา ความสุขความทุกข์มันเกิดขึ้นอยู่ตรงนั้นเพราะความคาดความหวัง หวังอดีตหวังอนาคตเพื่อจะให้มาลบล้างปัจจุบัน ลืมเลือนปัจจุบันไปตลอดเวลา

มันตรงกันข้ามกัน ถ้าผู้ที่มีธรรมนั้นเขาจะแก้ชำระกันตรงที่ปัจจุบันธรรมนั้น กิเลสนี้ชำระด้วยปัจจุบัน ถ้าอ๋อ...ตรงนี้แล้วมันสลัดเดี๋ยวนี้ มันทิ้งเดี๋ยวนี้ มันปล่อยวางเดี๋ยวนี้ มันสิ้นสุดกันกระบวนการเดี๋ยวนี้ แต่ชีวิตนั้นเห็นไหม ผู้มีราตรีเดียวมันจะไม่นับซับซ้อนแล้ว มันจะมีแต่ปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันนั้น อยู่กับวันนั้น ๆ วันนั้นวันเดียว วันนั้นวันเดียวแล้ววันอื่นนั้นมันมาเองโดยธรรมชาติของมัน ผู้มีปัจจุบันธรรมอยู่ในหัวใจนั้นมันจะมีความสุข

แต่เราไม่มีปัจจุบันในหัวใจเลย เราคิดแล้วนี่ เห็นไหม จะต้องเป็นอดีตเป็นอนาคตไปตลอด หวังแต่คาดการณ์ไปอนาคตตลอดเลย แล้วนี่เพราะหวังคาดการณ์ไปอนาคตมันถึงได้หลบเลี่ยงมาจากภายใน ภายในมันหลบเลี่ยง มันซับซ้อนมาภายในนี่ มันหลบเลี่ยงมาจากภายในแล้วมันก็ทำให้ข้างนอกนี่ซับซ้อนออกไป พอข้างนอกซับซ้อนออกไปแล้วเราก็วิ่งตามไป เห็นไหม ตัณหานี่มันหลอกเรา หลอกให้เราวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปตามธรรมชาติของมัน แล้วชีวิตนี้ก็มีแต่ความเร่าร้อนไป พยายามจะหาความสุขให้ใจตัวเองไง

พยายามแสวงหาความสุขให้ใจตัวเอง แต่แสวงหาความสุขได้มาเป็นความสุข ได้แต่ความเร่าร้อนมาเป็นความพอใจของตัวเอง มันเป็นความตัณหา มันปิดบังใจไว้ไม่ให้เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นโทษ สิ่งนั้นไม่ได้เป็นโทษสำหรับผู้ที่มีราตรีเดียว สิ่งนั้นเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย สิ่งที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยมันไม่เป็นโทษ แต่สิ่งที่เป็นโทษกับเราเพราะเราหวัง เครื่องอยู่อาศัยมันก็อยู่อาศัยของมันได้อยู่แล้ว

แต่นี่หวังเป็นที่พึ่ง เห็นไหม มันไม่เป็นที่พึ่งได้จริงหรอก พระรัตนตรัยเท่านั้น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นที่พึ่งของใจเท่านั้น สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นที่พึ่งของใจ มันเป็นที่อาศัยของร่างกายที่ดำรงชีวิตไปเท่านั้นเอง สมบัติของโลกเป็นแบบนั้น เป็นที่อยู่อาศัยต่อไป แต่บุญกุศลเป็นสมบัติของใจ บุญกุศลการแสวงหา การสละออกมันสละออกไม่ได้ เพราะมันมีการยึดเหนี่ยวอยู่ ความยึดเหนี่ยวของใจมันจะยึดเหนี่ยวของมันไว้ มันไม่ยอมสละออก

ความสละออกนี่เพราะอะไร? เพราะความซับซ้อนของใจมันหวังไว้ มันคาดไว้แล้วมันจะสะสมของมัน นี่พอข้างในมันติด มันก็ติดมา ติดเพราะตัวนี้ตัวธาตุรู้มันติดก่อน ตัวธาตุรู้มันติดมันก็ผ่านออกมาจากขันธ์ มันก็ติดในขันธ์ สังขารปรุงแต่งขึ้นไปมันก็คาดหมายเข้าไป จะทำอย่างนั้น จะเก็บสะสมอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นไป นี่สะสมออกมาเท่านั้นน่ะ มันก็เป็นขันธ์ เป็นอารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกมันเป็นการกระทำออกมา

นี่มันติดจากภายใน ถึงต้องย้อนกลับทวนกระแส ธรรมะนี้คือการทวนกระแสกลับเข้าไปในหัวใจ ถ้าเข้าไปชำระสิ่งนั้นสงบได้ สงบตัวลงแล้วความสุขเกิดขึ้นจากภายในก่อน ถ้าภายในเกิดจากความสุขขึ้นมา เห็นไหม มันเห็นความสุข คุณค่าของความสุข หินทับหญ้าไว้ก็เป็นความสุขส่วนหนึ่ง หินทับหญ้าไว้มันก็ให้เรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ ได้มีการกระทำของเราขึ้นมาอย่างหนึ่ง

ถ้าไม่หินทับหญ้าไว้เลยนี่ มันคิดออกไปแล้วมันก็ว่าทำไมเรายับยั้งตัวเองไม่ได้ เรายับยั้งตัวเองไม่ได้เพราะว่าเราไม่สามารถทำความสงบของใจได้ ถ้าทำความสงบของใจได้เราเริ่มยับยั้งตัวเองได้ ถ้าเริ่มยับยั้งตัวเอง เห็นไหม ความยับยั้งตัวเองไว้ ๆ จนกว่ามันมีฐานของมัน นี่ฐานควรแก่การงาน มันถึงจะเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมา ถ้ามันเป็นวิปัสสนาญาณขึ้นมา สิ่งนั้นมันถึงแก้ไขกิเลสของเราได้ แต่ตอนนี้เราแก้ไขกิเลสทั้งที่ว่ามันเป็นกิเลสอยู่ เห็นไหม

นี่เริ่มต้นวิปัสสนา เริ่มต้นทำกันก็ว่าเราแก้ไขกิเลสแล้ว ๆ นี่มันจับพลัดจับผลู มันขยำทั้งความดีความชั่วเป็นอันเดียวกัน แล้วก็ขยำรวมกันไป มันเลยจับปนเปกันไปจนไม่มีความรู้แยกแยะออกว่าอันใดเป็นโลกียะ อันใดเป็นโลกุตตระ แต่ความเริ่มต้นใหม่มันก็ต้องเริ่มต้นการกระทำขึ้นมาก่อน มันจะเป็นโลกียะมาตลอด จะทำอย่างไรเป็นโลกียะอยู่ โลกียะแต่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นความปล่อยวางได้

ถ้ามันความปล่อยวางได้ อย่างนั้นน่ะมันไม่ประมาท มันทำต่อเนื่องต่อไป ความต่อเนื่องต่อไปเป็นปัจจุบันต่อไป ไม่คาดอดีตคาดอนาคต ถ้าไม่มีความต่อเนื่องนี่ มันจะคาดอดีตอนาคต คาดหมายไปเลยว่าสิ่งนั้นจะเป็นความจริง สิ่งนั้นจะเป็นคาดหมาย เป็นผลประโยชน์ของเรา นี่มันซับซ้อนใจ ใจมันซับซ้อนเข้าไป มันก็เคลื่อนตรงนี้ไง

ความเคลื่อนของใจ ใจมันเคลื่อนแล้วนี่ แล้วมันจะเป็นปัจจุบันที่ไหน มันเคลื่อนจากภายใน ภายในมันเคลื่อนขึ้นไปมันก็หมุนเวียน มันจะหมุนเวียนไปหมดเลย มันยากมันยากตรงนี้ ยากเพราะตรงกิเลสภายในนี่ มันขยับตัวเองภายใน พอขยับตัวเองภายในนี่ศูนย์มันขยับ พอศูนย์มันขยับทุกอย่างจะขยับตามหมดเลย พอขยับตามไปนี่มันจะไม่เป็นปัจจุบันธรรม ๆ ถึงต้องพยายามทำบ่อยครั้งเข้า พยายามทำความสงบของใจเข้ามาบ่อยครั้งเข้า ๆ ๆ แล้วพยายามสร้างศูนย์นี่ จนกว่าฐานมันไม่เคลื่อนไง

ถ้าฐานไม่เคลื่อนนั่นน่ะ ตรงนั้นน่ะเป็นที่อยู่ของอวิชชา อวิชชาตั้งอยู่ตรงความรับรู้ของใจ สิ่งที่ใจรับรู้สิ่งนั้น เห็นไหม ผู้มีราตรีเดียวมันมีราตรีเดียวตรงนี้ เพราะมันไม่สะสมไปอดีตอนาคต มันตั้งมั่นอยู่ในธรรมชาติของมัน มันรับรู้สภาวะปัจจุบันของมันแล้วเป็นผู้มีราตรีเดียว แต่เราซับซ้อนมันไม่ใช่ราตรีเดียว มันคาดหมายไป มันเคลื่อนตรงนี้ ตรงนี้เป็นเคลื่อนมันก็เคลื่อนหมด

ความเคลื่อนหมด เห็นไหม เราต้องพยายามแก้ไขมัน ความแก้ไขคือพยายามทำความสงบของใจ ใจจะสงบเข้ามาได้ ๆ ความสงบของใจสงบเข้ามา ๆ ความสงบเข้ามานั่นน่ะ พอมันตั้งมั่นขึ้นมานี่ ความสุขเกิดขึ้น หินทับหญ้านี่มีความสุขมาก ๆ แต่ความสุขอย่างนั้นเป็นความสุขที่ว่าเราเผชิญในปัจจุบันธรรม แต่ยังไม่มีใครสามารถเห็นความสุขที่ว่ากิเลสมันขาดออกไปจากใจ ถ้ากิเลสมันขาดออกไปจากใจ ความสุขจะมีมหาศาลมากกว่านั้น

ความสุขมหาศาลมากกว่านั้นเพราะอะไร? เพราะว่ามันละความพะวงรุงรังของใจ แต่ความสงบเฉย ๆ นี่มันหินทับหญ้าไว้ ความสงบเฉย ๆ มันเหมือนกับเราความสกปรกถ้าเข้าใต้พรมไว้นี่ มันมีความสงบ มันมีความนิ่งอยู่ แต่ความสกปรกในใต้พรมนั้นมันมีพวกฝุ่น พวกฝอย พวกสิ่งสกปรกโสมมอยู่ในนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน ความสว่างความปล่อยวางของใจ สัญญาอารมณ์นี่มันว่าง มันเวิ้งว้าง มันเป็นความเวิ้งว้างนี่มันพอใจของมัน อันนี้เป็นหินทับหญ้าไว้ แต่ถ้ามันขาดออกไปนะ ใจมันขาด กิเลสมันขาดออกไป มันจะเวิ้งว้างกว่านั้น มันจะละเอียดอ่อนกว่านั้น เพราะอะไร? เพราะมันความสงบของใจด้วย มันความพะรุงพะรังของใจหลุดออกไปด้วย

นี่มันถึงเป็นสิ่งที่ว่าเป็นปัญญาของโลกุตตระ สิ่งที่เป็นโลกุตตระขึ้นมานี่ มันถึงจะไปชำระที่ว่าเป็นผู้ที่มามีราตรีเดียวได้ ถ้าปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้น ผู้มีราตรีเดียวมันจะเป็นสมบัติของเรา ถ้าปัญญาอย่างนี้ไม่เกิดขึ้น เราจะเป็นผู้มีราตรีเดียวไม่ได้เลย มันจะเคลื่อนของมันไปตลอด มันจะเคลื่อนของมันไป ไหวของมันไป แล้วความเคลื่อนของมันไป เห็นไหม เคลื่อนจากภายในเราไม่รู้เนื้อรู้ตัวนะ

นี่กิเลสมันปิดตาสัตว์โลกมันปิดตาอย่างนี้ ปิดตาตรงที่ว่าเคลื่อนจากภายในไม่รู้ แต่เคลื่อนจากเข็มนาฬิกาเคลื่อนไปเรารู้ เห็นไหม เป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวัน เป็นเดือนนี่ เราเคลื่อนไป เราก็นับไป ๆ นาฬิกามันเป็นนาฬิกา ปฏิทินมันเป็นปฏิทิน แต่ชีวิตคือเรา ปฏิทินไม่ใช่ชีวิตนะ เป็นมนุษย์สร้างขึ้นมา วัตถุภายนอกเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อเป็นการบอกป้ายหมายเวลาเท่านั้น แต่เราไปติดสิ่งนั้น คอยนับวันนับเดือนนับปี แต่ไม่ได้มองหัวใจของตัว

แต่ถ้าเข้ามาถึงใจของตัวเอง จับใจของตัวเองสงบเสงี่ยมได้ ใจของตัวเองเป็นผู้ตั้งมั่นได้ นี่กาลเวลานั้นเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยเหมือนกัน เป็นเครื่องบอกกล่าวเวลา เป็นสมมุติสื่อความหมายกันไป มันเป็นสิ่งที่เก้อ ๆ เขิน ๆ อยู่ข้างนอก หัวใจมันพ้นออกไป หัวใจมันปล่อยวางได้หมด หัวใจไม่เกี่ยวกับสิ่งนั้น นั่นน่ะมันถึงไม่เกาะเกี่ยวกัน มันถึงเป็นปัจจุบันได้ตลอดไป เวลาเคลื่อนไปก็บอกกันเป็นเวลาเคลื่อนไป รับรู้กันเป็นความเคลื่อนไปของเวลา แต่ใจไม่เคลื่อน

แต่นี่ใจเรามันเคลื่อน เพราะใจเรามันเคลื่อนเอง มันถึงพยายามไง พยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าเห็นความเป็นอย่างนี้ขึ้นมา นี่คือทฤษฎี ทฤษฎีจากผู้ที่ปฏิบัติ จากใจดวงหนึ่ง จากใจดวงที่ปฏิบัติแล้ว จะส่งมอบให้อีกใจดวงหนึ่ง แต่ใจดวงที่ปฏิบัติแล้วนี่ มันก็เข้าใจตามทฤษฎีนั้นหมด เห็นไหม กิริยาของธรรมไม่ใช่ธรรม พระไตรปิฎกทั้งตู้นี้เป็นกิริยาของธรรม แต่ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคลื่อน แต่กิริยานี้เป็นการเคลื่อนไป เคลื่อนเพื่อทวนกระแสไง

ความรับรู้ของเราก็เหมือนกัน มันก็ทวนกระแสเข้าไปตลอด ทวนกระแสเข้าไป เพื่อจะจับต้องสิ่งนั้นเข้าไป นั่นน่ะกิริยาของธรรม มันถึงเป็นทฤษฎีที่ว่า เราจะต้องทำให้เป็นปัจจัตตังจำเพาะใจของเรา ถ้าเราทำเป็นปัจจัตตังจำเพาะใจของเรา เราจะรู้ขึ้นมาตามความเป็นจริงของเรา ถ้าเรารู้ขึ้นมาตามความเป็นจริงของเรานี่ สมบัติเกิดขึ้นจากเรา ความสุขจะเป็นของเราขึ้นมาได้เป็นตามความเป็นจริง ความสุขของเรานะ

ความสุขของเรากับความทุกข์ของคนอื่นคนละอันกัน ความทุกข์ของเรากับความสุขของคนอื่น เห็นไหม ความทุกข์เป็นของเรา ความสุขเป็นของคนอื่น เขามีความสุขของเขา ๆ นี่ความคิดของกิเลสมันคิดอย่างนั้น

เวลามีความสุขขึ้นมานี่มันพอใจชั่วคราว แล้วมันก็เป็นอนิจจัง มันต้องย้อนออกไปเสวยความทุกข์ สุขเกิดขึ้น สุขตั้งอยู่ แล้วสุขต้องดับไป มันต้องสุขดับไป มันก็เป็นความทุกข์ขึ้นมา ความทุกข์ขึ้นมา เกิดขึ้นเห็นไหม เวลาทุกข์เกิดจากคนอื่นนี่ เรามองแล้วเราไม่เจ็บปวดแสบร้อน แต่ถ้ามันเกิดกับเรานี่จะเจ็บปวดแสบร้อนในหัวใจของเรา นั่นน่ะมันเกิดขึ้นมาจากนี่ ความทุกข์จากภายใน

ฉะนั้นมันเป็นกิเลสของใคร คนนั้นต้องชำระกิเลสของตัวเองนั้น ตัวกิเลสของใจของตัวเองเป็นผู้ที่ชำระกิเลสเท่านั้น เป็นผู้ที่พยายามปลดเปลื้องออกจากใจ กิเลสของคนอื่นเป็นกิเลสของคนอื่น นั่นน่ะเป็นปัจจัตตังของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงเป็นประโยชน์กับสัตว์โลก

นี่สมบัติของโลกเขา ใจสมบัติมีค่าที่สุด สิ่งอื่นนั้นไม่มีค่าเท่ากับดวงใจนะ ดวงใจจะมีความสุขความทุกข์นี่ดวงใจจะมีความสุขความทุกข์มาก สิ่งนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัยเฉย ๆ ถ้ามีความสุขอยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข แต่ถ้ามีความทุกข์ขึ้นมานี่ อยู่บนกองเงินกองทอง อยู่บนสมบัติมหาศาลมันก็มีความทุกข์ขึ้นมาในใจดวงนั้น ใจดวงนั้นมีแต่ความทุกข์ ทุกข์ในใจดวงนั้น เพราะใจดวงนั้นมันเร่าร้อนในใจดวงนั้น สมบัติมันไม่มีชีวิต สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มันไม่มีชีวิต มันมีชีวิตเพราะใจเท่านั้นมันมีชีวิต

แล้วเวลามันตายไป เห็นไหม มันตายไปนี่มันแค่เปลี่ยนสภาวะเท่านั้น มันไม่ได้ตายจากสิ่งสภาวะนั้นไปหรอก มันแปรสภาพของมันไป แล้วมันก็ไปเกิดใหม่ ไปเกิดใหม่มันก็ไปทุกข์อย่างเก่า ๆ ฉะนั้นเราต้องกำจัดที่นี่ ถ้ามันมีธรรมะในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนแล้วที่นี่ เราชำระที่นี่ได้มันก็เป็นประโยชน์กับเราที่นี่ ถ้าเราชำระของเราที่นี่ไม่ได้ มันจะเป็นไป

มันถึงว่าชำระที่ปัจจุบันนี้เท่านั้น ถ้าอดีตอนาคตชำระกิเลสไม่ได้ คาดหมายไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าตอนนี้เราไม่สามารถทำได้เราก็อาศัยอามิสทาน เห็นไหม ทานอันนี้คาดหมายไป เพื่อจะไปหาคุณงามความดีข้างหน้า เพื่อหาคุณงามความดีข้างหน้าของเราในอนาคตเท่านั้น เพราะว่ามันเป็นไปธรรมชาติ เรารู้ในทฤษฎีอยู่แล้วนี่ว่ามันเป็นไปในอนาคต อนาคตต้องหมุนไป แล้วเราอยู่ในปัจจุบันไม่ได้ มันก็หวังอนาคต หวังพึ่งอนาคต หวังอนาคต

นี่มันเคลื่อนไปหมดเลย เคลื่อนจากข้างนอก เคลื่อนจากข้างใน เคลื่อนไปหมด แล้วเราจะมีความสุขจากที่ไหน หาความสุขหาไม่เจอนะ หาข้างนอกหาไม่เจอ หาขนาดไหนหาไม่เจอ เหนื่อยยากขนาดไหนหาไม่เจอ แล้วเวลาตายไปนี่มันจะมีแต่ความว้าเหว่ ความว้าเหว่นะ ความอาลัยอาวรณ์นะ แล้วถึงตอนนั้นแล้วจะว่า เราอาลัยอาวรณ์ในชีวิต อาลัยอาวรณ์ในทุกอย่าง แล้วเราก็ต้องพลัดพรากจากไป ต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นไปโดยธรรมชาติของมัน

สิ่งนั้นจะอยู่กับเราไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมชาติ เป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริงในเรื่องสัจจะ ความจริงภายนอก กับอริยสัจจะความจริงภายในหัวใจ สัจจะภายนอก เห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สสารนี้แปรสภาพทั้งหมดไม่มีอะไรคงที่เลย มันก็แปรสภาพไปของมันตลอดไป แต่สสารของใจ เห็นไหม มันแปรสภาพไป มันก็แปรสภาพเป็นสถานะ เป็นภพ เป็นชาติ เป็นภพเป็นชาติไปเรื่อย ๆ ภพชาติไหนล่ะ

ดูสิ ดูสัตว์มันเกิดมานี่ชีวิตมันสั้นมาก เห็นไหม ชีวิตของสัตว์บางตัวนี่ชีวิตสั้นมาก แล้วมันก็ต้องตายไป มันก็เป็นภพชาติหนึ่ง ๆ มันเกิดตายเหมือนกัน มันทุกข์มีความกังวลเหมือนกัน เวลาสัตว์มันจะตาย เห็นไหม ถ้าสัตว์ที่มันมีดวงตา เราดูดวงตามันเศร้าสร้อยสิ มันเรียกร้องความช่วยเหลือนะ มันเรียกร้องความช่วยเหลือทุกอย่างเลย แต่มันก็ต้องตายไปโดยสภาวะของมัน โดยสภาวะของกรรมไง

ไอ้เราก็เหมือนกัน เราก็ต้องตายไป แต่เป็นสัตว์ที่มีปัญญา สัตว์ที่มีปัญญาสร้างบุญกุศลได้ สร้างความคิดได้ สร้างความสะสมของใจได้ สร้างบุญกุศลของเราไปได้ นี่เป็นบุญพาเกิดพาตาย เราจะไปในอนาคตเราก็ต้องมีบุญพาเกิดพาตาย ศาสนานี่สอน สอนตั้งแต่ว่าเราจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่ พึ่งพาอาศัยไปกับใจของตัวเองลงไป แล้วมันถึงที่สุดแล้วมันจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่กับใจ เห็นไหม

ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรเป็นเครื่องอยู่กับใจ ใจเท่านั้นเป็นเอโก ธัมโม ใจนี้เป็นหนึ่ง ใจนี้พึ่งพาอาศัยใจของตัวเองได้ ใจตัวเองเป็นใจของตัวเอง ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นที่อาศัย มันถึงจะเอาเป็นเครื่องอยู่ของมันได้ นั่นน่ะถึงจะเป็นประโยชน์กับตัวเองโดยสมบูรณ์ เอวัง